⌈ F
A
L
L
E
N ⌋
Johnny x Taeil
Rate : NC – 17 /drugs/violence/sex
Inspired by superduper_x
June, 1922
Rolls Royce Silver Ghost คันสีดำสนิทกลืนไปกับรัตติกาลเคลื่อนตัวเข้ามาจอดอย่างเงียบเชียบหน้าโถงทางเข้าของคฤหาสน์หลังงามที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากผู้คน ชายหนุ่มร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้เปิดประตูและก้าวขาออกมา เม็ดฝนบางเบาตกกระทบรองเท้าสีดำมันวาว แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อคนรับใช้วัยกลางคนที่อยู่ในชุดสูทเรียบร้อยเต็มยศเดินเข้ามากางร่มให้ เขาโยนกุญแจรถให้กับเด็กรับใช้อีกคนที่ยืนรออยู่แล้วก่อนจะเดินผ่านประตูโค้งบานใหญ่เข้าไปสู่ห้องโถงกลางของตัวคฤหาสน์
ลิฟต์เก่าๆส่งเสียงโอดครวญยามที่มันต้องพาเขาขึ้นไปชั้นบนสุดของคฤหาสน์ ซึ่งทั้งพื้นที่ของชั้นนั้นเป็นของเขา ห่างไกลจากแม่เจ้าระเบียบและพ่อบ้าอำนาจ รวมถึงลูกน้องและบอดี้การ์ดมากมายของพ่อด้วย
มุนแทอิลปลดเปลื้องผ้าออกจากร่างกายก่อนจะหย่อนกายลงนั่งเหยียดขาอยู่ใต้ผืนน้ำที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบสีแดงสดในบ่อหินเนื้อดีที่ถูกบรรจงสร้างขึ้น วางศีรษะพาดไว้กับขอบบ่อแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิดซึ่งมีกระจกบางๆขวางกั้น คืนนี้ไร้ซึ่งแสงดาวและและแสงจันทร์ เม็ดฝนตกกระทบลงกับแผ่นกระจกเกิดเสียงเปาะแปะดูน่ารำคาญแต่กลับทำให้ความคิดเขาเรียงตัวอย่างสงบขึ้นในคืนนี้
เขาออกไปขับรถเล่นมา ไม่ได้ลงจากเขาเข้าไปในตัวเมืองอย่างที่ตั้งใจไว้เพราะไม่มีบอดี้การ์ดติดตาม
ถึงจะน่ารำคาญแต่ทว่ามันเสี่ยงเกินไปที่จะทำตัวเป็นเด็กดื้อรั้นโหยหาอิสรภาพ
ครอบครัวของเขาเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดินใหม่พร้อมกับธุรกิจค้าฝิ่นโดยหวังจะขึ้นเป็นใหญ่อย่างรวดเร็ว และมันก็สำเร็จภายในเวลาสองปีกว่าๆ ฝิ่นที่นำเข้ามาก็มาจากเอเชียทวีปบ้านเกิดของเขาเอง
ทุกสิ่งที่มีในวันนี้มันกลืนกินวัยเด็กของเขาไปหมดสิ้น รู้ตัวอีกที มุนแทอิลวัย 26 ปีก็แทบไม่หลงเหลือความทรงจำดีๆเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองแล้ว
ก๊อกๆ
เขาลงมือเคาะประตูห้องทำงานของพ่อ เสียงโต้เถียงที่เล็ดลอดออกมาก่อนหน้านี้เงียบลงทันที ก่อนเสียงแหบต่ำจะเอ่ยอนุญาตให้เขาเข้าไปได้
ดูเหมือนว่าพ่อของเขากำลังตกลงเรื่องบางอย่างอยู่กับคู่ค้าคนสำคัญ และเหมือนว่าจะมีอะไรไม่ลงรอยกันนิดหน่อย
“มีอะไรสำคัญหรือเปล่าแทอิล” เขาโค้งให้ทั้งพ่อและคุณลี
“เรื่องสาขาทางตอนใต้ครับ” พ่อของเขากุมขมับก่อนจะโบกมือไล่เป็นเชิงว่าเอาไว้คุยกันทีหลัง เขาโค้งให้คนทั้งคู่แล้วกลับหลังหันไปที่ประตู แต่เสียงคุณลีก็รั้งเขาไว้เสียก่อน
“เจ้ามาร์คถามหาเธออยู่น่ะแทอิล ป่านนี้ไปรอที่ห้องแล้วล่ะมั้ง”
“…ครับ”
แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่คุณลีกล่าว มาร์คนั่งแกว่งขารอเขาอยู่ที่ปลายเตียง เขาปิดประตูลงเสียงดังกึงแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง มาร์คกำลังพลิกปืนโคลท์ M1911 ของเขาไปมา ก่อนจะยกขึ้นเล็งศูนย์ไปเรื่อยๆก่อนจะมาหยุดที่เขา
“ BANG ! —” เด็กหัวสีทองอายุ 15 ปีในชุดกางเกงขาสั้นลดปืนในมือลงแล้วพลิกไปพลิกมาอีกรอบก่อนจะสะดุดตาเข้ากับบางอย่าง
“E-B-O-N-Y … คืออะไรเหรอครับ?” เขาเดินเข้าไปแย่งปืนออกมาจากมือของเด็กนั่นแล้วเอาไปเก็บไว้ที่เดิมก่อนมันจะลั่นไปโดนอะไรเข้า
“ชื่อของเธอน่ะ นายไม่ควรหยิบของในห้องพี่มาเล่นตามอำเภอใจนะ … โดยเฉพาะปืน”
“เห้อ —- ไม่สนุกเลย” เด็กนั่นถอนหายใจออกมายาวเหยียดก่อนจะทำคอตกแต่ขายังคงแกว่งไปมาอยู่เหมือนลูกสุนัขขี้เล่น แทอิลยืนไปหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กน้อยที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน มือเล็กๆหยิบไฟแช็คโลหะไปจากมือเขาก่อนจะจุดไฟให้กับเขาที่ยืนถือไปป์ญี่ปุ่นรออยู่ก่อนแล้ว
แทอิลอัดสารที่จะช่วยให้ร่างกายของเขาล่องลอยเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะพ่นควันออกมาใส่เด็กน้อยที่สำลัก นั่งไอจนน้ำตาเล็ดอยู่ตรงหน้า กลิ่นฝิ่นกระจายไปทั่วทั้งห้อง ทำแบบนี้ซ้ำๆอยู่หลายทีจนสติเขาเริ่มเลือนลอย มาร์คแย่งไปป์ไปจากมือเขาก่อนจะเอาไปวางตรงไหนสักที่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแล้ว
“หาอะไรสนุกๆทำสิ” บีบปลายคางของเด็กนั่นเบาๆให้กลับมาสนใจเขา จากนั้นมือเล็กๆของเจ้าตัวก็ดึงรั้งปกเสื้อของแทอิลให้โน้มลงไปหา ริมฝีปากแห้งผากของตัวเองประกบเข้ากับริมฝีปากนุ่มหยุ่นเล็กๆของเด็กน้อย แผ่นหลังเล็กค่อยๆเอนลงจนนอนราบไปกับที่นอนโดยมีร่างของเขาทาบทับลงไปอีกที จากนั้นก็ปล่อยให้เรื่องสนุกของเราสองคนดำเนินต่อไปเหมือนที่ผ่านๆมา
สายตาเลื่อนลอยเหม่อมองออกไปนอกกระจกรถ ข้างๆมีพ่อของเขาที่กำลังนั่งอ่านเอกสารบางอย่างอยู่
“สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียด หลายๆแก๊งเริ่มแก่งแย่งกันขึ้นเป็นใหญ่ พันธมิตรก็หายาก…” พ่อของเขาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในตัวรถ แทอิลหันกลับไปมองบิดาตัวเองที่เขาเพิ่งได้สังเกตเห็นชัดๆว่าอีกคนแก่ชราลงขนาดไหนแล้ว
“แม้แต่คุณลีก็ด้วยเหรอครับ” พ่อของเขาไม่ได้ตอบ แต่อีกฝ่ายกลับทำสิ่งหนึ่งซึ่งไม่ได้ทำมาเกือบสิบปีแล้ว ฝ่ามือเหี่ยวย่นและหยาบกร้านแตะเข้าที่ข้างแก้มของเขาเบาๆ
แต่แค่นั้น มันก็เหมือนมีน้ำรดลงมากลางใจเหี่ยวเฉาของเขาแล้ว
“พ่ออยากให้ลูกระวังตัวไว้ ลูกเป็นคนที่จะสืบทอดทุกอย่างให้คงอยู่ต่อไป”
“…” เขาถอนหายใจแล้วสะบัดหน้ากลับออกไปมองนอกตัวรถเหมือนเดิม
พ่อของเขาหายเข้าไปในตึกเก่าหลังหนึ่ง และทิ้งเขาไว้กับบอดี้การ์ดนับสิบที่กระจายตัวอย่างระแวดระวังอยู่รอบๆเขา ตอนนี้แทอิลกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งใต้เงาไม้ริมถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามเป็นโบสถ์หลังงามที่ทุกคนกำลังหลั่งใหลเข้าไปหาที่พึ่งทางจิตใจ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา
ที่ไม่ศรัทธาอะไรซักอย่างบนโลกใบนี้
หันมองไปรอบกายอย่างเบื่อหน่าย ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีดำสนิททั้งเชิ้ตและสูทที่ใส่อยู่ มือข้างหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างนั้นถูกเข้าเฝือกอ่อนไว้แล้วห้อยอยู่กับลำคอยาว เขาคนนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ร่างกายกำยำกว่าแทอิลนัก เส้นผมสีเข้มลู่ไปกับสายลมที่อยู่ๆก็พัดมา เขามองภาพตรงหน้าอย่างเพลินตาก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกคนดูเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่และหันมาสบตากันเข้า
แทอิลผงกหัวให้อย่างงกๆเงิ่นๆ มันเสียมารยาทมากที่ไปจ้องอีกคนนานขนาดนั้น แต่เขาก็ละสายตาออกมาไม่ได้จริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่ว่า ร่างกายแบบนั้นดีจังเลยนะ …
อยู่ๆคนนั้นก็เดินมานั่งข้างๆเขา หางตาแทอิลสังเกตได้ว่าบอดี้การ์ดรอบๆตัวกำลังจับกระบอกปืนของตัวเองอยู่ แต่คนข้างๆทำแค่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ นานอยู่หลายนาทีกว่าเจ้าตัวจะพูดอะไรออกมา
“ไม่เข้าไปข้างในเหรอครับ” ชายหนุ่มพยักเพยิดไปทางโบสถ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แทอิลยิ้มบางๆแล้วส่ายหน้าไปมาน้อยๆ
“คุณก็ด้วยนี่ครับ” เมื่อได้เห็นอีกคนใกล้ๆก็รู้สึกว่าคนนี้ดูเหมือนคนเอเชีย แต่แทอิลก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
“บาปของผมมันมากเกินกว่าที่พระเจ้าจะรับไหวน่ะ” เขาพูดก่อนจะหัวเราะหึในลำคอ
“งั้นผมก็เช่นกัน” แทอิลหันไปยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของคนข้างๆอีกครั้งหลังจากได้ยินที่แทอิลพูด
“เราน่าจะเข้ากันได้ดีนะครับ — ผมซอยองโฮ” มือหนายื่นมาให้ เขาสัมผัสมือนั้น บีบเบาๆและเขย่าพอเป็นพิธี เขาเป็นคนเกาหลีแน่นอน ดูจากชื่อ และมันช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้
“ผมมุนแทอิล ให้ตายเถอะ ดีใจจังครับที่ได้เจอคนจากประเทศเดียวกัน” เขาตอบกลับไปเป็นภาษาเกาหลี แต่อีกฝ่ายก็ทำหน้างงกลับมา
“ขอโทษนะครับ พอดีผมเกิดที่ชิคาโก — ”
“อ๋า ! ผมบอกว่าชื่อมุนแทอิล คุณเป็นลูกครึ่งเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอกครับ” อีกฝ่ายตอบแค่นั้น ซึ่งแทอิลก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ ดูเหมือนว่าบทสนทนามันคงจะเข้าเรื่องส่วนตัวมากเกินไป เรานั่งเงียบๆกันสักพัก จนอีกฝ่ายทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นแล้วใช้ปลายเท้าบดขยี้มัน แทอิลจึงลุกขึ้นเพื่อบอกลา
“ผมต้องไปแล้วล่ะ”
ยองโฮยิ้มบางๆให้แล้วพยักหน้าให้เขา
“หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะครับ”
แทอิลเดินไปแล้ว และยองโฮก็เห็นกลุ่มคนที่อยู่รอบๆเดินตามอีกคนไป จนสุดท้ายเหลือแค่เขา ยองโฮล้วงมือเข้าไปในสูท หยิบกระดาษแผ่นบางๆออกมาที่มีรูปของผู้ชายคนหนึ่งอยู่บนนั้น
มองตรงไปยังทิศทางที่อีกคนเดินจากไปก่อนจะจุดไฟเผารูปใบนั้นจนไหม้เหลือแค่เถ้าธุลี
July, 1922
ฝนกลางเดือนกรกฎาคมตกลงมาพอให้แทอิลหงุดหงิด วันนี้เขาต้องออกมาจัดการงานข้างนอก สินค้าล็อตใหม่มาแล้ว และฝนนี่ก็ทำให้งานมันยากขึ้น นอกจากฝนที่น่าหงุดหงิดแล้ว อีกอย่างที่น่าหงุดหงิดก็คือมีรายงานเข้ามาว่ามีคนในลักลอบขโมยสินค้าออกไปขายเอง
โกดังแถวท่าเรือเปิดประตูรอต้อนรับเขาอยู่แล้ว ตรงกลางมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งโดนจับมัดไว้กับเก้าอี้ สภาพสะบักสะบอมจนดูไม่จืด ปืนโคลท์สีดำสนิทถูกหยิบยกออกมา จ่อดันปลายคางให้อีกคนเงยหน้าขึ้น ตาข้างขวาของมันช้ำปูดจนน่ากลัวและปากก็แตกมีเลือดติดแห้งกรัง
“บอกชื่อแกมา ฉันจะได้สลักบนป้ายหลุมศพให้ถูก” แทอิลกล่าวเสียงนิ่ง
“หึ…” ไอเด็กท่าทางขี้ยานี่ถ่มน้ำลายใส่เขา ปืนในมือลั่นใส่ใต้คางของมันทะลุกลางกระหม่อมทันทีอย่างไม่ต้องคิด
“เสียเวลา … จัดการศพของมันด้วย” แทอิลถอดสูทที่เปื้อนของตัวเองปาใส่สภาพที่ดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิมของศพตรงหน้า ปาดเลือดที่กระเซ็นมาเปื้อนบนแก้มออกอย่างรังเกียจก่อนจะเดินไปทำงานของตัวเองที่ได้รับมอบหมายมาอีกทีจากบิดา
สไนเปอร์ไรเฟิลคู่ใจและเจ้าของของมันซ่อนตัวอย่างแนบเนียบอยู่ในมุมอับสายตาของอาคารสูงแห่งหนึ่ง เป้าหมายของเขาอยู่ห่างออกไปเป็นระยะราบประมาณ 900 เมตร แต่นั่นไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย หลายวันมานี้เขาแหกกฏตัวเองเรื่องบุหรี่ แต่ไม่ใช่วันนี้ —
แนบใบหน้าเข้ากับลำกล้อง ตามติดการเคลื่อนไหวของเป้าหมายตลอดเวลา เขาเป็นนักฆ่าอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 19 ปี แต่ก็มีผลงานมากมายที่เป็นที่พอใจแก่นายจ้าง วิธีที่เขาถนัดคือซุ่มยิงระยะไกล
และแน่นอนว่าเขาไม่เคยพลาด…
สายฝนที่กระหน่ำลงมาเรื่อยๆถึงแม้จะไม่หนักหนา แต่ก็ทำให้ลำบากอยู่ไม่น้อย และถึงแม้ว่าลมด้านล่างจะสงบ แต่ลมด้านบนยอดตึกที่เขาอยู่นั้นก็พัดแรงไม่น้อยเลย เขาต้องคำนวณดีๆ —
เป้าหมายของเขาเดินออกมาแล้ว เดินอยู่ตรงกลางท่ามกลางบอดี้การ์ดนับสิบ แต่นั่นมันก็ดูไม่ช่วยอะไร
ปลายนิ้วเตรียมเหนี่ยวไก เขากลั้นหายใจพร้อมยิง —
ปัง !!!
เสียงปืนดังก้องสนั่นหวั่นไหวมาจนถึงจุดที่ยองโฮอยู่ เสียงนั้นไม่ได้เกิดจากยองโฮ และมันก็ยังไม่ได้คร่าชีวิตเหยื่อของเขา กระสุดพลาดไปโดนช่วงบ่าของอีกคน ก่อนที่นัดต่อมาจะดังขึ้นและโดนบอดี้การ์ดแถวนั้น ความวุ่นวายตามมาเมื่อทุกคนพยายามจะป้องกันเจ้านายของตัวเองไปยังที่ปลอดภัย
“แม่งเอ๊ย ! ศัตรูเยอะจริงนะ” เขาโยนปืนทิ้งไว้แถวนั้นแล้วรีบออกจากสถานที่แห่งนั้นทันที สตาร์ทรถบึ่งออกไปจอดแถวๆจุดเกิดเหตุ หยิบปืนพกของตัวเองออกมาเตรียมพร้อม ไล่ตามหาอีกคนที่วิ่งหายเข้าไปในดงตู้คอนเทนเนอร์ เสียงปืนดังขึ้นชุดใหญ่เหมือนมีการปะทะกัน แต่เขาคิดว่าแทอิลคงไม่ได้อยู่แถวนั้น ยองโฮยังคงเดินตามหาอีกคนไปเรื่อยๆจนเจอรอยเลือด
!!!
“คุณ !!!” ต่างฝ่ายต่างเอาปืนจ่อหน้าอีกคน แต่เหมือนแทอิลจะลดระดับปืนที่ถืออยู่ในมือเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเขา
ทำไมเชื่อใจคนง่ายขนาดนั้นกันนะ
“คุณเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบสินะ — พาผมออกไปจากที่นี่ที” แทอิลถลาเข้ามาเกาะเสื้อของเขาไว้อย่างทรงตัวไม่อยู่ด้วยมือข้างที่แขนไม่ได้เจ็บ กำไว้แน่นจนสูทที่ใส่อยู่ยับยู่ยี่
เขากำมือรอบต้นแขนอีกคนไว้แน่น รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่รู้สึกว่ามันเล็กขนาดนี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงออกแรงฉุดดึงร่างอ่อนระโหยโรยแรงของอีกคนไปขึ้นรถของตัวเอง
ยึดปืนของอีกคนมาเก็บไว้ท่ามกลางเสียงร้องประท้วงไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ มือหนายกขึ้นกำรอบลำคอเล็กๆของอีกคนด้วยแรงที่ไม่น้อย
“ผมเป็นนักฆ่า” แทอิลเบิกตากว้าง ก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาแล้วหัวเราะเบาๆกับตัวเองเหมือนคนเสียสติ
“เอาซี่ — งานคุณนี่ ผมยินดี
แต่ถ้าคุณจะเมตตา ผมขออะไรสักอย่างได้ไหม”
ยองโฮมองสายตาเว้าวอนของชายตรงหน้า สุดท้ายก็ปล่อยมือออกจากลำคออีกคนที่ขึ้นรอยแดงทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้บีบไว้จนกะจะให้อีกคนตายคามือ แปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่เขายอมโอนอ่อนตามอีกคน
นั่นคงเป็นเพราะอีกฝ่ายไร้อาวุธแล้วตอนนี้ … แต่ซอยองโฮก็จะไม่ยอมประมาทอีกคนเด็ดขาด
หลังจากจัดการห้ามเลือดของอีกคนอย่างลวกๆเขาก็รีบขับรถออกกลับไปที่บ้านพักของตัวเองที่อยู่ชานเมือง ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ปลีกวิเวก และไร้เพื่อนบ้าน
มันคือบ้านของแม่เขาเอง ที่ที่เขารู้สึกปลอดภัยที่สุดในการทำอาชีพบัดซบนี้
เขาแบกร่างที่สติเลือนรางเต็มทีเข้าไปในบ้าน เข้าไปในห้องพยาบาลย่อมๆของตัวเอง มันมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกได้มากพอโดยไม่ต้องไปหาหมอ ซึ่งนั่นก็มีไว้เพื่อตัวของเขาเอง
กระสุนไม่ได้ฝัง มันแค่ถากไปแต่ก็สร้างความเสียหายอยู่ไม่น้อย และดูเหมือนว่าอีกคนจะเสียเลือดไปเยอะระหว่างทางที่มาที่นี่ แน่นอนว่าเขาไม่มีเลือดสำรองให้ ถ้าอีกคนจะตายไปนั่นก็ถือว่าง่ายดี เขาจะได้ไม่ต้องลงมือให้เปลืองแรง
แต่แล้วสุดท้าย อีกคนก็เข้าสู่นิทราไปอย่างรวดเร็วหลังทำแผลให้เสร็จ ลมหายใจเข้าออกที่ดังอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าอีกคนยังมีชีวิตอยู่ดีและนั่นหมายความว่าเขาต้องมาทำตามคำขอสุดท้ายบ้าๆของอีกคน
‘ฉันขออิสรภาพสักสองวัน’
เขาไม่แน่ใจว่าจะให้สิ่งนั้นแกอีกคนได้หรือไม่ ในเมื่อสิ่งนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเหมือนกัน
เช้าวันต่อมา เขายกหูโทรศัพท์หมุนแป้นกลมๆไปยังตัวเลขที่คุ้นเคยเพื่อต่อสายหาคนที่เป็นทั้งนายจ้างและผู้มีพระคุณของเขาเพื่อแจ้งข่าวของงานในครั้งนี้
เขาปดไปว่างานเสร็จสิ้นแล้ว
ทั้งๆที่ตัวปัญหานั้นนั่งทำตาแป๋วกินซีเรียลและนั่งดูภาพเคลื่อนไหวขาวดำในกล่องสีเหลี่ยมจากโทรทัศน์เครื่องเก่าเหมือนเด็กติดการ์ตูน เขาถอนหายใจหลังวางสาย อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กๆ ทั้งๆที่จากการคุยกัน แทอิลคนนี้อายุมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
“คุณใช้เวลาวันแรกได้ไร้ค่ามากๆเลยรู้ตัวไหม” แทอิลละสายตาไปมองร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตู ทำหน้าเหมือนหมีหงุดหงิดมาทางเขา
“เดือดร้อนอะไรด้วยล่ะ มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องการนี่” มันก็จริงอย่างที่อีกคนพูด ซอยองโฮเลยเบี่ยงความสนใจไปที่แผลอีกคน เขาเดินไปเปิดคอเสื้อเพื่อจะดูแผล แต่อีกคนก็เบี่ยงหลบ
“ยิงทิ้งดีมั้ยเนี่ย —” กระแทกเสียงใส่คนโตกว่าอย่างหงุดหงิด แต่ก็โดนตอกกลับมาแทบจะทันที
“ผิดคำพูด” เขาจ้องกลับเข้าไปนัยน์ตาอีกคนที่ก็นิ่งไม่ไหวติง เขารู้ว่าอีกคนไม่กลัวคำขู่ฆ่าของเขาเลยสักนิด อดคิดไม่ได้ว่า อะไรกันที่ทำให้คนๆนี้สิ้นหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อจนไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย
“นักฆ่านะครับ ไม่ใช่นักบุญ — ทำไมตอนนั้นถึงไม่ตายไปซะเลยล่ะ” ดูเป็นคำพูดที่โหดร้าย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะถามอ้อมค้อมไปเพื่ออะไร อีกคนชะงักไปเล็กน้อยแล้วทำหน้าเหมือนคนที่กำลังตบตีกับความคิดของตัวเอง
“ก็เพราะตอนนั้นรู้สึกว่ายังไม่อยากตาย…”
“แล้วถ้าคุณติดใจในอิสรภาพสองวันนี้ แล้วเกิดไม่อยากตายขึ้นมาอีก — คุณจะทำยังไง”
“… ฉันก็จะฆ่านายแทนไงล่ะยองโฮ”
คืนนั้นดำเนินไปอย่างแปลกประหลาด ระหว่างที่เราสองคนนอนจ้องเพดานอยู่ข้างกันบนเตียงท่ามกลางความมืด แทอิลก็พลิกตัวขึ้นมานอนทับบนตัวของเขา มือเล็กๆลูบไล้ไปตามโครงหน้า ไล่สายตาสำรวจใบหน้าของเขาอย่างไม่เร่งรีบโดยอาศัยแสงสว่างจากแสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างเหนือหัวเตียง
“ตอนที่เจอกันครั้งแรก นายดูงดงามมากจริงๆ”
ยองโฮไม่ได้ผลักไสอีกคนออก เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และเขาก็ไม่ได้นึกรังเกียจเซ็กส์จากเพศเดียวกันสักนิด เขาปล่อยให้มือเล็กๆนั่นสัมผัสไปตามร่างกายของเขา มันลากผ่านแผ่นอกที่ไม่มีเนื้อผ้าขวางกั้น ปลายนิ้วเรียวไต่อยู่ที่ขอบกางเกงนอนก่อนจะผลุบหายเข้าไป ใบหน้าที่เขาได้พินิจมองมาทั้งวันแล้วได้ข้อสรุปว่ามันสวยหวานเกินผู้ชายนั้นโน้มลงมา จูบจาบจ้วงเกิดขึ้นพร้อมๆกับน้ำหนักมือของอีกคนที่สัมผัสตัวตนร้อนระอุของเขา
ร่างหนาพลิกกลับมาอยู่ด้านบน ไต่มือหยาบกร้านที่ผ่านการจับอาวุธมาหลายรูปแบบหายเข้าไปใต้เสื้อของอีกคน สัมผัสผิวกายลื่นเนียน ลากผ่านเอวบางๆเข้าไปบีบบั้นท้ายของอีกคน
เสียงครางหวานดังขึ้นผะแผ่วอยู่ใกล้ๆหูเมื่อปลายจมูกของเขากำลังซุกไซร้อยู่ข้างลำคอของอีกคน แตะปลายลิ้นชิมอย่างไม่รีบร้อน ผละออกมาถอดเสื้ออีกคนโยนออกไปให้พ้นทาง เพื่อที่เขาจะได้ชิมอีกคนได้ทั้งตัว
มือที่เคยเข้าไปซุกซนอยู่ใต้กางเกงเขาตอนนี้กำลังขยุ้มกลุ่มผมสีเข้มเพื่อระบายอารมณ์วาบวาบในช่องท้อง ปลายลิ้นของเขากำลังไล้วนอยู่บริเวณไรขนอ่อนๆของอีกคน ลากริมฝีปากต่ำลงไปสร้างความสุขสมให้อีกคนจนแผ่นหลังบางๆแอ่นขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
ดันกายเข้าไปจนสุดเมื่ออีกคนทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากร้องขอเขา เสียงร้องที่มีความเจ็บปวดปะปนอยู่ดังออกมาจากริมฝีปากที่เผยอขึ้นรอรับจูบจากเขา ไม่นานความเจ็บก็แปรเปลี่ยนเป็นความสุขสม และเสียงครางระงมของร่างเล็กก็ดังขึ้นปะปนกับเสียงผิวกายที่กระทบกัน
เขารู้สึกได้ว่ามันเป็นครั้งแรกของแทอิลที่ต้องมารองรับตัวตนของคนอื่น
ยอมรับว่าลึกๆก็รู้สึกดี และนั่นมันก็แปลกมากเลยที่เขารู้สึกดี
ซอยองโฮไม่ได้ตื่นเพราะแสงอาทิตย์ที่แยงตา แต่ตื่นเพราะรู้สึกถึงแรงกดจากบางอย่างแถวๆหน้าท้อง
ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแทอิลที่ยังคงเปลือยเปล่าไปทั้งตัวนั่งคร่อมทับเขาไว้ สองมือกำรอบด้ามปืนที่ปลายกระบอกจ่ออยู่ตรงหน้าเขา ห่างไม่ถึงฟุต
“ติดใจอิสรภาพแล้วสินะ” อีกคนส่ายหน้า เขารู้ว่าอีกคนยิงจริงแน่ มือที่จับปืนนั้นไม่สั่นเทาเลยแม้แต่น้อย แถมนิ้วเรียวๆนั่นก็เตรียมจะเหนี่ยวไกแล้วด้วย
“แล้วทำไม —”
“ตายคนเดียวมันเหงา” อีกคนหัวเราะออกมาเบาๆ ยองโฮไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไร หรือถามอะไรต่อ —
ปัง !
เลือดสีเข้มกระจายเต็มหมอนสีขาวสะอาด ปิดตาอีกคนลงด้วยปลายนิ้วของตัวเอง ก่อนจะจับข้อมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นสีขาวจางๆขึ้นมาจูบเบาๆ
แทอิลไม่รู้หรอกว่าอีกคนมีปัญหาอะไร แต่จากรอยแผลบนข้อมือพวกนี้ ก็ทำให้รู้ได้ว่าอีกคนก็ไม่ได้อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่าไหร่…
แล้วจะให้แทอิลทิ้งผู้มีพระคุณให้อยู่ต่อบนโลกใบนี้อย่างเจ็บปวดต่อไปได้อย่างไร…
มือเล็กหันปลายกระบอกปืนจ่อเข้าที่ขมับของตัวเอง
สำหรับยองโฮการฆ่าตัวตายคงลำบาก แต่กับเขานั้นไม่ใช่ แล้วยิ่งได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการด้วยแล้ว
ถึงแม้จะแค่วันเดียวก็ตาม…
ปัง !
THE END
#Fallen_Johnil
ฮือ มาแล้วค่ะ งมอยู่นาน ได้รับแรงบันดาลใจจากแฟนอาร์ตของคุณ dup
{ จิ้มๆ }
ดีใจมากและเขินมากที่อยากให้เรานำมาเขียน ._.
แต่ไม่รู้ว่าทำได้ดีมั้ย ยังไงก็ขอบคุณมากๆเลยนะคะ T-T
ชอบมากค่ะฮืออ จบได้สะใจเรามากจริงๆ ไม่ได้อ่านฟิคที่มีตอนจบแบบนี้มานานมากแล้ว ชอบความดาร์คของแทอิลมากเลยค่ะ มีความจิตเล็กๆด้วย ละคือเก๋มาก ใช้ชีวิตคุ้มแล้วก็บาย(แถมเอาผู้มีพระคุณไปด้วย) จริงๆพี่จอนนางก็คงไม่แคร์ชีวิตตัวเองด้วยแล้วจริงๆ นอกจากรอยนั้นแล้วถ้านางจะชิงปืนหรือจะฆ่าทิ้งซะตั้งแต่แรกก็ทำได้ แต่นี่คือแบบ… เขาเหมาะสมกันดีจริงๆค่ะ
LikeLike
ชอบอ่าาา เข้ากับแฟนอาร์ตที่คุณdup วาดเลยค่ะ ปรบมือ
LikeLike